คุรุสภากำหนดยื่นแบบขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือครูอาวุโส ประจำปี 2565 ภายในวันที่ 29 เมษายน 2565
คุรุสภากำหนดยื่นแบบขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือครูอาวุโส ประจำปี 2565 ภายในวันที่ 29 เมษายน 2565

คุรุสภากำหนดยื่นแบบขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือครูอาวุโส ประจำปี 2565 ภายในวันที่ 29 เมษายน 2565

คุรุสภากำหนดยื่นแบบขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือครูอาวุโส ประจำปี 2565 ภายในวันที่ 29 เมษายน 2565
คุรุสภากำหนดยื่นแบบขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือครูอาวุโส ประจำปี 2565 ภายในวันที่ 29 เมษายน 2565 3
คุรุสภากำหนดยื่นแบบขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือครูอาวุโส ประจำปี 2565 ภายในวันที่ 29 เมษายน 2565 4

ขอเชิญผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาที่เกษียณอายุงานในปี พ.ศ. 2565 (30 กันยายน 2565) ที่มีประวัติชีวิตการทำงานดีตลอดมา และมีความประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดีตามจารีตของครู ยื่นแบบคำขอรับพระราชทานเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกาศนียบัตร และเงินช่วยเหลือครูอาวุโส ประจำปี 2565 จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือผู้แทนพระองค์

ผู้มีสิทธิยื่นแบบคำขอฯ ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้  1) เป็นสมาชิกคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู พุทธศักราช 2488 หรือเป็นผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาตามพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ที่จะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565  2) เป็นผู้ประกอบวิชาชีพครู หรือผู้บริหารสถานศึกษา หรือผู้บริหารการศึกษา หรือศึกษานิเทศก์ จนถึงอายุ 60 ปี บริบูรณ์  3) มีระยะเวลาประกอบวิชาชีพทางการศึกษารวมกันไม่น้อยกว่า 30 ปี นับถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 (กรณีผู้ที่อายุครบ 60 ปี ในปี พ.ศ. 2564 ให้นับถึงวันที่ 30 กันยายน 2564) ทั้งนี้ ไม่นับรวมเวลาราชการทวีคูณ และ 4) มีประวัติชีวิตการงานดีตลอดมามีความประพฤติเป็นแบบอย่างที่ดี ตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ หรือจารีตของครูไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย แม้จะได้รับการล้างมลทินแล้วก็ตาม

เอกสารประกอบการพิจารณาขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ ประกอบด้วย 1) แบบขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติ (มอ.1) เสนอผู้บังคับบัญชาลงนามรับรอง 2) รูปถ่ายหน้าตรง ขนาด 2 นิ้ว จำนวน 1 รูป 3) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน  4) สำเนาทะเบียนประวัติ (กพ.7) หรือสำเนาทะเบียนประวัติอิเล็กทรอนิกส์ (กคศ.16) หรือสำเนาสมุดประวัติ (โรงเรียนเอกชน) หรือสำเนาบัตรประวัติพนักงานเทศบาล ทุกหน้า และให้รับรองสำเนาด้วยปากการหมึกสีน้ำเงินทุกหน้า โดยนักทรัพยากรบุคคล หรือผู้รับผิดชอบการจัดทำทะเบียนประวัติ

กรณีหลักฐานการประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ไม่ครบ 30 ปี ถ้าเคยทำการสอนสังกัดอื่น จะต้องให้หัวหน้าหน่วยงานต้นสังกัด (เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน หรือผู้อำนวยการกองทะเบียน หรือศึกษาธิการจังหวัด หัวหน้าหน่วยงานต้นสังกัด แล้วแต่กรณี) ออกหนังสือรับรองว่าเคยปฏิบัติหน้าที่ ณ สถานศึกษานั้น ตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงวันสิ้นสุด ณ วัน เดือน ปี ใด สำหรับผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่โรงเรียนเอกชนในปัจจุบัน ต้องแนบสำเนาสมุดประวัติการเป็นครู บันทึกสถานที่ปฏิบัติงาน วันบรรจุ วันจำหน่ายออกในแต่ละช่วงให้ครบถ้วน และให้ผู้รับใบอนุญาตหรือผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นผู้ออกหนังสือรับรองว่ายังทำการสอนอยู่ และจะจำหน่ายออกเมื่อใด

สามารถยื่นแบบคำขอฯ พร้อมเอกสารประกอบการพิจารณาได้ที่สถานศึกษา หรือหน่วยงานที่ตนเกษียณอายุราชการ ภายในวันที่  29 เมษายน 2565

สำหรับผู้ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือทางการเงิน ต้องแนบแบบคำขอรับความช่วยเหลือทางการเงิน (มอ. 2) และเอกสารประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมตามที่คุรุสภากำหนด เพื่อดำเนินการตามลำดับต่อไป

กรณีที่มีอายุครบ 60 ปี บริบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2564 แต่ยังมิได้ยื่นคำขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติฯ ให้มีสิทธิยื่นคำขอในปีนี้ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ขอรับได้เฉพาะเครื่องหมายเชิดชูเกียรติและประกาศนียบัตรเท่านั้น โดยให้ยื่นแบบคำขอพร้อมเอกสาร ที่สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ตามที่ตั้งสถานศึกษา หรือหน่วยงานที่ท่านเกษียณอายุราชการ ภายในวันที่ 29 เมษายน 2565

สำหรับวิธีดำเนินการ ให้ปฏิบัติดังนี้

               1) สถานศึกษา เสนอผู้บังคับบัญชาชั้นต้นลงนามรับรองในแบบคำขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติและเงินช่วยเหลือ และรับแบบคำขอฯ จากผู้ยื่นคำขอในสถานศึกษา แล้วจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ยื่นคำขอ และจัดส่งบัญชีรายชื่อพร้อมแบบคำขอและเอกสารต้นฉบับ ให้หน่วยงานต้นสังกัด รายละเอียดตามตารางแนบท้ายประกาศ ภายในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565

               2) หน่วยงานต้นสังกัด รับแบบคำขอจากสถานศึกษาในสังกัด ตรวจสอบคุณสมบัติ แบบคำขอและเอกสารประกอบการพิจารณาให้เป็นไปตามที่คุรุสภากำหนด โดยแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกผู้ประสงค์ขอรับการช่วยเหลือทางการเงิน ให้เหลือหน่วยงานละ 1 คน และจัดทำผลการคัดเลือก (แบบ มอ. 3) และบัญชีรายชื่อผู้ยื่นคำขอ ให้สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด ภายในวันที่ 20 มิถุนายน 2565 กรณีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ให้ส่งบัญชีรายชื่อไปยังสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดที่สถานศึกษาตั้งอยู่

               3) สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (งานคุรุสภาจังหวัด) รับเอกสารจากหน่วยงานต้นสังกัดในสังกัดจังหวัด รวมทั้งรับแบบคำขอจากผู้ยื่นความประสงค์ที่ไม่สังกัดสถานศึกษา และตรวจสอบคุณสมบัติ แล้วบันทึกข้อมูลในระบบ TEPIS จัดส่งบัญชีรายชื่อ แบบตรวจคุณสมบัติ พร้อมแบบคำขอความช่วยเหลือทางการเงิน และเอกสารประกอบการพิจารณา ให้สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา ภายในวันที่ 10 สิงหาคม 2565

ทั้งนี้ มูลนิธิฯ จะประกาศรายชื่อให้เป็นครูอาวุโส ประจำปี 2565 เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน และยื่นแบบคำขอ พร้อมเอกสาร ภายในระยะเวลาที่กำหนด หากส่งเอกสารเพิ่มเติมภายหลังและมีคุณสมบัติครบถ้วน จะนำไปประกาศรายชื่อในปีถัดไป ทั้งนี้ การพิจารณาของคณะกรรมการมูลนิธิช่วยครูอาวุโสฯ ถือเป็นที่สุด

ในแต่ละปีมีครูอาวุโสที่ได้รับความยากลำบาก สมควรได้รับความช่วยเหลือเป็นจำนวนมาก แต่มูลนิธิฯสามารถให้ความช่วยเหลือได้ไม่ทั่วถึง คุรุสภาขอเชิญผู้ที่มีความประสงค์ร่วมสมทบทุนมูลนิธิได้ที่ บัญชีออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “มูลนิธิช่วยครูอาวุโส ในพระบรมราชูปถัมภ์” ธนาคารกรุงไทย สาขากระทรวงศึกษาธิการ เลขที่บัญชี 059 – 0 – 24478 – 7 พร้อมส่งสำเนาการโอนเงิน ระบุชื่อ – ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ มายังกลุ่มยกย่องและผดุงเกียรติวิชาชีพ สำนักงานเลขาธิการคุรุสภา โทร./โทรสาร 0 – 2280 – 4333

สามารถดาวน์โหลดแบบคำขอรับเครื่องหมายเชิดชูเกียรติครูอาวุโสฯ และดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์คุรุสภา www.ksp.or.th หรือสอบถามรายละเอียด โทร. 0 2280 4333

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่