ฉีดวัคซีนนักเรียน ส่อล่าช้ากว่าเป้าหมาย คาด 1 พ.ย. นี้ อาจไม่ได้เปิดภาคเรียนออนไซต์พร้อมกันทุกแห่ง
เมื่อวันที่ 18 ต.ค. น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงการฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียนอายุ 12-17 ปี ว่าภาพรวมการฉีดวัคซีนขณะนี้มีนักเรียนทยอยแจ้งความประสงค์ขอฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังไม่พบรายงานว่ามีนักเรียนได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีน ส่วนครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ยังรับวัคซีนไม่ครบประมาณ 1 แสนคนจะเร่งดำเนินการฉีดควบคู่ไปพร้อมกับนักเรียน สำหรับการเปิดภาคเรียนที่ 2 ในวันที่ 1 พ.ย.นี้ กระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) จะมีมาตรการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพราะบริบทของโรงเรียนมีความแตกต่างกันมีทั้งโรงเรียนขนาดใหญ่ กลางและเล็ก ดังนั้นอาจไม่ได้เปิดภาคเรียนแบบออนไซต์พร้อมกันทุกแห่ง แต่จะมีมาตรการสลับวันมาเรียน ทั้งนี้เมื่อเปิดเรียนแล้วขอให้สถานศึกษาทุกแห่งปฎิบัติการตามมาตรการของ สธ.อย่างเคร่งครัด เช่น เว้นระยะห่าง สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา เป็นต้น
ดร.สุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ตั้งแต่เปิดให้มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กนักเรียน นักศึกษา ทุกสังกัดที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา ข้อมูลวันที่ 17 ต.ค.2564 พบว่า มีนักเรียนที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้ว จำนวน 1,106,202 คน และคาดว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คงจะไม่ได้ 50% ของจำนวนเด็กที่ลงทะเบียน
ทั้งนี้ สำหรับปัจจัยที่ทำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์แก่เด็กนักเรียนไม่เป็นไปตามเป้าหมายนั้นเนื่องจากส่วนหนึ่งเกิดจากการเข้ามาช้าของวัคซีน ซึ่งตอนนี้เข้ามาเพียงสัปดาห์ละ 1.5 ล้านโดสเท่านั้น และไม่แน่ใจกระบวนการจัดสรรหรือการจัดส่งทำให้บางจังหวัดอาจจะไม่ได้รับวัคซีนตามวัน เวลาที่กำหนด รวมถึงมีความเข้าใจผิดในบางเรื่อง เช่น ทางสาธารณสุขเข้าใจว่านักเรียนอายุ 18 ปีตามบัญชีรายชื่อไม่ต้องฉีดไฟเซอร์ก็ได้ ซึ่งอยากขอความกรุณาให้มั่นใจตรงกันว่าต้องฉีดวัคซีนไฟเซอร์ตามบัญชีรายชื่อที่ ศธ.และสธ. ดำเนินการร่วมกัน นอกจากนั้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียน นักศึกษาไม่ถึง 3 หมื่นคน อีกทั้งมีนักเรียนบางกลุ่มได้มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ได้ระบุข้อมูล หรือมีนักเรียนบางกลุ่มไปฉีดวัคซีนในโครงการอื่นๆ บ้างแล้ว
ปลัด ศธ. กล่าวอีกว่า ส่วนเด็กนักเรียนที่จบ ม.6 แล้ว และไม่ได้ศึกษาต่อทำให้ไม่ได้อยู่ในระบบของโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ซึ่งเด็กกลุ่มนี้ส่วนใหญ่อายุเกิน18 ปี สามารถเข้ารับวัคซีนได้เหมือนประชาชนทั่วไป ขณะที่นักเรียนที่เรียนโฮมสคูล นักเรียนสามารถแจ้งไปศึกษาธิการจังหวัดหรือสามารถขอขึ้นทะเบียนรับวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านได้ ซึ่งตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ คาดว่าจะฉีดวัคซีนให้แก่เด็กในเข็มแรกตามจำนวนเด็กที่ลงทะเบียนได้ครบใน 3 สัปดาห์แรก แต่ตอนนี้ต้องยอมรับว่ายังไม่ครบ และคาดว่าจะครบใน 4 สัปดาห์ ซึ่งเรื่องการฉีดวัคซีนไม่เกี่ยวกับการเปิดเทอม 2/2564 เพราะหากสถานศึกษาไหนยังไม่พร้อมก็สามารถเรียนในรูปแบบออนไลน์ หรือรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสมกับโรงเรียนได้ และจังหวัดได้ อย่างไรก็ตามเร็วๆ นี้ ศธ.จะหารือร่วมกับสธ.อีกครั้งในการฉีดวัคซีนให้แก่ครู และเร่งการฉีดวัคซีนให้แก่เด็ก
ส่วนกรณีการเปิดประเทศในวันที่ 1 พ.ย.2564 นี้ ดร.สุภัทร กล่าวต่อไปว่า ตามหลักของ ศธ.ในการประสานไปยังสาธารณสุขเพื่อฉีดวัคซีนให้แก่เด็กและครูนั้น เริ่มแรกไม่ได้มีการกำหนดจังหวัด แต่ต้องการปูพรมให้ฉีดทั้งประเทศทว่าด้วยข้อจำกัดในหลายอย่าง จึงกำหนดให้มีการฉีดในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดก่อน เพราะฉะนั้น จากที่ตนดู ตอนนี้เข็มแรกจะฉีดแล้วเสร็จประมาณเดือน ต.ค. หรือนานกว่านั้น และคาดว่าจะฉีดวัคซีนเข็ม 2 ได้ในสิ้นเดือน พ.ย. จากกำหนดเดิมคาดว่าวันที่ 15พ.ย.2564
“วัคซีนมีเพียงพอ แต่อาจจะจัดสรรทยอยไปเรื่อยๆ และไม่ตรงกับที่คาดการณ์ไว้ว่าจะฉีดเข็มแรกครบ 3 สัปดาห์ขณะเดียวกัน การอนุญาตให้ฉีดวัคซีนแก่เด็กนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)ได้รับรองเพียง 2 ชนิดคือ ไฟเซอร์ ซึ่งรัฐบาลจัดสรรให้ กับ โมเดอร์น่าที่พ่อแม่ผู้ปกครองอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการฉีดเอง แต่โมเดอร์น่าเข้ามาเร็วสุดน่าจะเดือนธ.ค. ทว่าด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดสายพันธุ์เดลต้า ถ้าได้ฉีดก่อนก็น่าจะระมัดระวังได้มากขึ้น ดังนั้นอยากเชิญชวนผู้ปกครอง ถ้าไม่แน่ใจว่าเด็กๆ ที่ต่ำกว่า 12 ปี จะทำอย่างไร สิ่งที่ ศธ.ทำ คือการฉีดวัคซีนให้แก่ครู 85% และผู้ปกครองควรฉีดวัคซีนให้ครบ เพราะหากรอบๆ ตัวเด็กมีแต่คนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็จะทำให้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ปลอดภัยจากโควิด-19” ดร.สุภัทร กล่าว.
ขอบคุณที่มา : Facebook At_HeaR ข่าวจริงเข้าหู | ภาพ ประชาสัมพันธ์ สพฐ.