ผอ.โรงเรียนเฮ ก.ค.ศ.ไฟเขียวย้ายได้ทั่วประเทศ ย้ายไปโรงเรียนขนาดเล็ก สวัสดิการจัดเต็ม สรุปข่าวข่า หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ วันที่ 8 มกราคม 2563 บอร์ด ก.ค.ศ.ไฟเขียว
ให้การขอย้ายผู้บริหารสถานศึกษาย้ายได้ทั่วประเทศ กำหนดระยะเวลาการย้ายใหม่ได้ 1 ปี พร้อมมอบสิทธิสวัสดิการแบบจัดเต็มให้แก่ผู้บริหารอยากมาอยู่โรงเรียนขนาดเล็ก เพื่อสร้างแรงจูงในใจในการพัฒนาโรงเรียน
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆนี้ ที่ประชุมมีมติอนุมัติเห็นชอบร่างหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานบริหารสถานศึกษา โดยร่างหลักเกณฑ์ฉบับใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2563 เป็นต้นไป ทั้งนี้เพื่อให้มีความคล่องตัวในการปฎิบัติงานมากขึ้น รวมถึงจะเป็นประโยชน์และสร้างความเป็นธรรมในการย้ายผู้บริหารสถานศึกษา
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เห็นชอบให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ ก.ค.ศ. พิจารณาแล้วมีมติว่า เป็นผู้มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ว 13 / 2556 ให้สามารถขอทบทวนมติ ก.ค.ศ. ได้ในกรณีที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษารายใดเห็นว่าผลการพิจารณานั้น อาจคลาดเคลื่อน ให้เสนอขอทบทวนผลการพิจารณาเป็นรายบุคคลได้ ภายใน 90 วันนับตั้งแต่วันที่สำนักงาน ก.ค.ศ. มีหนังสือแจ้งมติ ก.ค.ศ. ทั้งนี้การทบทวน ก.ค.ศ.จะพิจารณาจากเอกสารที่ผู้ขอรับการประเมินยื่นไว้เดิม โดยผู้ขอรับการประเมินจะต้องชี้แจงในประเด็นที่เห็นว่า ก.ค.ศ. พิจารณามีความคลาดเคลื่อนจากเอกสารหลักฐานที่ได้เสนอไว้เดิม
ด้านนายประเสริฐ บุญเรือง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ในฐานะโฆษก ศธ. กล่าวว่า สำหรับการปรับปรุงร่างหลักเกณฑ์และวิธีการย้ายข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานบริหารสถานศึกษา รูปแบบใหม่นั้น เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่ามีการร้องเรียนเรื่องการโยกย้ายผู้บริหารสถานศึกษาว่าหลักเกณฑ์เดิมสร้างเงื่อนไขให้ไม่สามารถย้ายข้ามจังหวัดและย้ายมาโรงเรียนขนาดใหญ่ได้ จนกลายเป็นว่าโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษในบางจังหวัดนั้นก็ไม่มี อีกทั้งต้องย้ายไปโรงเรียนที่มีขนาดเดียวกัน
ดังนั้น รมว.ศธ.จึงมองว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการศึกษาและการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนจึงเห็นชอบให้มีการปรับแก้ไขหลักเกณฑ์ดังกล่าว โดยหลักเกณฑ์การขอย้ายผู้บริหารสถานศึกษาใหม่นั้น ให้สามารถขอย้ายข้ามจังหวัดได้ เพื่อขยับขยายให้ผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนั้นๆได้เติบโตมาพัฒนาโรงเรียนขนาดใหญ่
โดยมีเงื่อนไขแบ่งการแข่งขันออกเป็นโรงเรียน 2 ขนาด เช่น เมื่อตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษว่างผู้ที่มีโอกาสย้ายจะเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษกับผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดใหญ่ หรือ เมื่อตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดใหญ่ว่างผู้มีโอกาสย้ายจะเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดใหญ่และผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดกลาง แต่การแข่งขันกันจะมาพร้อมกับองค์ประกอบการพิจารณาการย้าย 8 ข้อ เช่น ต้องมีความอาวุโส และมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านภาษาและเทคโนโลยีในการพัฒนาโรงเรียน เป็นต้น
โฆษก ศธ.กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้การกำหนดระยะเวลาขอย้ายได้ปรับแก้ไขใหม่จากเดิมหากผู้บริหารสถานศึกษาจะขอย้ายจะต้องดำรงตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียนนั้นให้ครบ 24 เดือนหรือ 2 ปี แต่ปรับใหม่เป็น 12 เดือนหรือ 1 ปี แต่ผู้ขอย้ายจะต้องครบ 12 เดือนบริบูรณ์นับตั้งแต่วันดำรงตำแหน่งถึงวันที่เขียนคำขอย้าย เพื่อให้ความเป็นธรรมเพราะที่ผ่านมาวงรอบการย้ายจะใช้เวลาดำเนินการจริงๆยาวนานส่งผลให้ผู้ขอย้ายเสียโอกาส
ส่วนการโยกย้ายแทนตำแหน่งที่ว่างที่ประชุมมีมติว่าจะมีการกำหนดสัดส่วนให้ชัดเจนระหว่างผู้บรรจุใหม่กับผู้ยื่นเรื่องคำขอย้าย เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ได้กำหนดสัดส่วนไว้จึงทำให้ไม่ได้มีการบรรจุผู้สอบแข่งขันได้ โดยสัดส่วนการบรรจุระหว่างผู้สอบใหม่กับผู้ยื่นเรื่องขอย้ายจะให้อำนาจคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นผู้กำหนด เช่น เมื่อตำแหน่งว่าง 9 ตำแหน่ง จะต้องมีการแบ่งระหว่างผู้ที่บรรจุได้กับผู้ขอย้ายให้เท่ากันก่อน คือ สัดส่วนละ 4 ตำแหน่ง และที่เหลือ 1 ตำแหน่งกศจ.จะดูความเหมาะสมว่าสัดส่วนจะเหลื่อมไปทางผู้บรรจุใหม่หรือผู้ขอย้าย
ทั้งนี้ที่ประชุมยังเห็นความสำคัญของการยระดับคุณภาพโรงเรียนขนาดเล็ก โดยมอบให้ ก.ค.ศ.ไปศึกษาและกำหนดให้ผู้อำนวยการโรงเรียนขนาดเล็กสามาถเบิกค่าเช่าบ้านและสวัสดิการอื่นๆได้ เพื่อเป็นแรงจูงให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถได้เลือกเข้ามาพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก
ที่มา : เดลินิวส์ วันที่ 8 มกราคม 2563