ตรีนุช เดินหน้านำร่อง 20 รร. Sandbox Safety Zone เปิดเรียน On Site ได้
น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมการประชุมหารือ ประเด็น “ทิศทางการศึกษาเพื่อฝ่าวิกฤติโควิด” ผ่านระบบออนไลน์ ว่า การประชุมครั้งนี้เป็นการหารือร่วมกับภาคีเพื่อการศึกษาไทย (TEP – Thailand Education Partnership ) รวมถึงคณาจารย์ , เครือข่ายครูในพื้นที่ต่าง ๆ และหน่วยงานภาคเอกชนที่ทำงานร่วมกับ TEPโดยที่ประชุมได้พูดถึงผลกระทบที่เกิดกับเด็กในช่วงที่การจัดการเรียนรู้ไม่เป็นไปตามปกติ ก่อให้เกิดการสูญเสียโอกาสทางการเรียนรู้ (Learning Losses) ซึ่งถือเป็นปัญหาที่ทั่วโลกพบเจอ การที่โรงเรียนไม่สามารถวางแผนการจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัญหาด้านการเรียนรู้ด้วยตัวเองของเด็ก (Self-management)และผลกระทบที่เกิดจากการเรียนผ่านหน้าจอ เป็นต้น
รมว.ศึกษาธิการ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้วงประชุมยังได้ร่วมกันวิเคราะห์และหาแนวทางที่จะเปลี่ยนวิกฤตที่เกิดขึ้นตอนนี้ ให้เป็นโอกาสในการปฏิรูประบบการศึกษา ที่สอดรับกับการเรียนรู้ในอนาคต และมองว่าหลังสถานการณ์โควิด-19 ระบบการศึกษาไทยต้องปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง รวมถึงสะท้อนภาพของการจัดการศึกษาที่ต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปเป็น Digital learning platform และสิ่งหนึ่งที่มีการแสดงความคิดเห็นตรงกันนั้น คือการได้เห็นว่าเมื่อเกิดภาวะวิกฤติแบบนี้ ควรปรับการจัดการให้มีความยืดหยุ่น ปลดล็อกระบบของราชการ ไม่เน้นการเรียนการสอนเพื่อวัดผล แต่ต้องปรับมาเรียนเฉพาะวิชาสำคัญ ให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งรอบตัว เน้นการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) ให้มากที่สุด จากทั้งในชุมชน ครอบครัว
น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากประเทศไทยยังคงเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบกับระบบการศึกษา ทำให้ไม่สามารถเปิดทำการเรียนการสอนได้ตามปกติ ดังนั้น ศธ.จึงจำเป็นต้องปรับทิศทางระบบการศึกษาให้เหมาะสมตามสภาพพื้นที่และทันสถานการณ์ โดยช่วงแรกเราเปิดการเรียนการสอนแบบ On Site ได้กว่า 20,000โรงเรียน แต่ในปัจจุบันเหลือประมาณ 2,000 โรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็ก ทั้งนี้ ศธ.พบว่าโรงเรียนประจำหลายแห่งมีความพร้อมสำหรับการเรียนการสอนแบบOn Site ได้ จึงร่วมมือกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดเตรียมแนวทาง Sandbox Safety Zone in School (SSS) เพื่อช่วยวางมาตรการด้านความปลอดภัยให้แก่นักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียน ซึ่งจะเริ่มนำร่องในโรงเรียนประจำประมาณ 20 โรงเรียน จากนั้น จึงจะเปิดโอกาสให้โรงเรียนประจำแห่งอื่น ๆ ที่มีความพร้อมสามารถเข้าร่วมโครงการได้.
ขอบคุณที่มา : At_HeaR ข่าวจริงเข้าหู