เปิดเรียนเทอม 2 ศธ. ไม่บังคับไปโรงเรียน หากกังวลใช้ออนไลน์ที่บ้านได้

เปิดเรียนเทอม 2 ศธ. ไม่บังคับไปโรงเรียน หากกังวลใช้ออนไลน์ที่บ้านได้ ส่วนตัวเลขจองรับวัคซีนไฟเซอร์ คาดสรุปได้สัปดาห์หน้า

วันที่ 22 กันยายน 2564 นางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) กล่าวภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ว่า ที่ประชุมได้วางแผนมาตรการเปิดภาคเรียนที่ 2 ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ เป็นต้นไป ซึ่ง ศธ.จะร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) วางแผนการเปิดภาคเรียนให้อยู่ภายใต้มาตรการความปลอดภัยด้านสุขภาพ พร้อมกับการวางแผนการฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียนที่มีอายุ 12-18 ปีว่าจะมีแนวทางอย่างไรบ้างโดยเบื้องต้นศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) จะต้องเป็นเจ้าภาพหลัก ในการรวบรวมข้อมูลและชี้แจงทำความเข้าใจ ให้แก่ผู้ปกครองได้รับทราบถึงแนวทางการฉีดวัคซีน เพื่อประสานข้อมูลการฉีดวัคซีนร่วมกับสาธารณสุขจังหวัด

สำหรับข้อมูลนักเรียนที่ผู้ปกครองยินยอมให้เข้ารับวัคซีนคาดว่าสัปดาห์หน้าจะทราบจำนวน ทั้งนี้แม้ว่าเราจะดำเนินแผนเปิดเรียนแบบออนไซต์แล้ว แต่หากผู้ปกครองยังมีความกังวลที่จะให้บุตรหลานมาเรียนที่โรงเรียน ก็สามารถให้เรียนที่บ้านผ่านรูปแบบการเรียนอื่น ๆ ได้เช่นกัน ศธ.ไม่มีการบังคับทั้งเรื่องการฉีดวัคซีน และการมาเรียนที่โรงเรียน

ด้านนายสุภัทร จำปาทอง ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวในรายการ ศบค.ศธ.พบสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างวางมาตรการเพื่อให้โรงเรียนสามารถเปิดเรียนได้ ที่ผ่านมาได้มีการจัดทำมาตรการ SSS ในโรงเรียนประจำเป็นเฟสแรก มีการคัดกรองอย่างเคร่งครัด จัดทำระบบปิด และตอนนี้กำลังดูเฟสสองสำหรับโรงเรียนไปกลับ ที่อย่างน้อยต้องจัดพื้นที่การเรียนการสอนให้ปลอดภัยที่สุด

มาตรการที่ดำเนินการจะไม่ต่างจากโรงเรียนประจำ แต่อาจจะมีความละเอียดมากกว่า ยกตัวอย่าง 6 มาตรการหลัก เช่น ใส่หน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างทางสังคม หรือแม้แต่วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ใช้อุปการณ์ตนเอง ไม่ใช้ร่วมคนอื่น อาหารต้องปรุงสุกตลอด เราต้องรีเช็กมาตรการเหล่านี้ตลอดเวลา

ส่วนสถานศึกษาต้องเข้มงวดเรื่องของการใช้ THAI STOP COVID+, Thai Save Thai,การตรวจสอบวัตถุดิบและระบบโภชนาการ ที่จะต้องเป็นไปตามหลักสุขอนามัย รวมถึงการวางแผนเผชิญเหตุ ร่วมกับโรงพยาบาลหากพบเด็กติดเชื้อ หากโรงเรียนใดต้องการเปิดเรียนในโรงเรียน ต้องจัดทำแผนโดยยึดมาตรการที่ สธ.และศธ.กำหนดอย่างเคร่งครัด และเสนอผ่านศึกษาธิการจังหวัด (ศธจ.) หาก ศธจ.ตรวจดูแผนแล้วพบว่าโรงเรียนสามารถดำเนินการตามมาตรการที่ สธ. และ ศธ.กำหนดได้ จะเสนอให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาอนุมัติต่อไป

อยู่ระหว่างรวมตัวเลขจองรับวัคซีน

ปลัด ศธ. กล่าวต่ออีกว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้นักเรียน นักศึกษาอายุ 12 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 18 ปีนั้นจะครอบคลุมทั้งม.1-ม.6 รวมถึง ปวช. และอนุโลมให้ ปวส.ด้วย ทั้งในภาครัฐ เอกชน สังกัดกระทรวงศึกษาธิการหรือกระทรวงอื่น ๆ รวมแล้ว 4.5 ล้านคน

ส่วนความคืบหน้าขณะนี้ สถานศึกษาหลายแห่งยังประชุมทำความเข้าใจกับผู้ปกครองถึงข้อดีข้อด้อยเพื่อนำมาตัดสินใจประกอบการฉีดวัคซีน นับแต่วันนี้จนถึง 24 กันยายน สถานศึกษาต้องได้รับใบยินยอม ประสงค์ฉีดวัคซีน และเร่งรวมตัวเลขประสงค์ฉีดในวันที่ 25 กันยายน ขอให้ส่งข้อมูล จำนวนนักเรียนไปยัง ศธจ. และวันที่ 26 กันยายนจังหวัดจะรวบรวมตัวเลขนักเรียนที่ต้องการฉีดส่งให้สาธารณสุขจังหวัด (สธจ.)

และในวันที่ 27 กันยายน สธจ.จะส่งข้อมูลให้กรมควบคุมโรค จัดสรรวัคซีนให้แต่ละพื้นที่ต่อไป ซึ่งในวันที่ 1 ตุลาคม สถานศึกษาจะทราบวันที่แน่นอนว่า สถานศึกษาจะได้รับการจัดสรรวัคซีนในวันไหน และทำการนัดผู้ปกครองต่อไป ได้ฉีดต้นเดือนตุลาคมแน่นอน ซึ่งถ้าฉีดได้สัปดาห์แรกเดือนตุลาคม เว้นระยะห่าง 3-4 สัปดาห์ กลุ่มที่ฉีดสัปดาห์แรกก็จะได้รับครบ 2 เข็ม ประมาณช่วงวันที่ 15 พฤศจิกายน ฉะนั้นบางโรงเรียนก็อาจทยอยเปิดได้ตั้งแต่ต้นพฤศจิกายน

ทั้งนี้ในส่วนเด็กของ ป.6 ที่อายุครบ 12 ปีแล้ว มีราว 3.6 แสนราย ก็อาจจะเป็นแผนต่อไปที่เรากำลังร่วมกันหารือทั้งเรื่องวัคซีน และแผนเปิดเรียนอย่างไรให้ปลอดภัย เพราะเด็กกลุ่มนี้ยังไม่ได้รับวัคซีน อีกทั้งขนาดของสถานศึกษามีความแตกต่างกัน ดังนั้นการเปิดเรียนในรูปแบบปกติจะต้องเพิ่มความเข้มข้นของมาตรการอย่างไรบ้าง

เร่งส่งรายชื่อ ครู-บุคลากรตกหล่น

ปลัด ศธ. กล่าวอีกว่าตอนนี้แต่ละจังหวัดมีครูที่ยังไม่ได้รับวัคซีนอยู่บ้าง ก็ได้มีการประสานกับกรมควบคุมโรค ขอให้แต่ละจังหวัดนำรายชื่อมา แต่ครูจะได้ฉีดวัคซีนตามสูตรที่รัฐบาลกำหนดคือ ซิโนแวค ตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้า

เด็ก 98% อยากรับวัคซีน

ขณะที่นายวิสิทธิ ใจเถิง นายกสมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมแห่งประเทศไทย กล่าวผ่านรายการเดียวกันว่า การได้รับวัคซีนถือเป็นความหวังของสถานศึกษาที่จะเปิดเรียนแบบปกติ เท่าที่สำรวจความสนใจฉีดวัคซีน ในส่วนของโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) พบว่านักเรียนสนใจฉีดวัคซีนมากถึง 98% อีก 2% ที่เหลือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับวัคซีนไปแล้วก่อนหน้า กับกลุ่มที่จองวัคซีนทางเลือกอื่น ๆ ไว้ ซึ่งจากการสอบถามผู้ปกครองส่วนใหญ่บอกว่านักเรียนเป็นคนหาข้อมูลและเป็นผู้ตัดสินใจเองทั้งหมด เพราะเด็กต้องการมาโรงเรียนตามปกติ สรุปแล้วผมเชื่อว่าถ้าเราประชาสัมพันธ์ให้ดี สื่อสารให้ผู้ปกครองเข้าใจ ก็เชื่อว่าผู้ปกครองจะยินยอมให้เด็กฉีดวัคซีน 100%

แนะ ร.ร.แบ่งแผนเปิดเรียน

นายวิสิทธิ กล่าวต่อว่า หลังจากเรื่องวัคซีนเสร็จ โรงเรียนก็ต้องมาเตรียมการเปิดเรียนแบ่งเป็นแผน ยกตัวอย่างเช่น

แผนที่ 1 เปิดเรียนตามปกติได้แบบออนไซต์ โดยมีมาตรการสาธารณสุขกำหนด เช่นการเดินทางมาโรงเรียนให้ปลอดภัย มีการคัดกรองอุณหภูมิก่อนเข้าโรงเรียน ครู ผู้ปกครองร่วมกันรับผิดชอบ สถานที่ต้องมีการฉีดพ่นฆ่าเชื้อ จัดระบบการใช้สถานที่ลดความแออัด

แผนที่ 2 ผสมผสาน ออกแบบให้มีทั้งออนไซต์ ออนไลน์ผสมผสานกัน ให้นักเรียนมาเรียนวันละระดับชั้น เพื่อลดการใช้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ได้พบปะเพื่อน ครู

“สิ่งที่สำคัญคือ อยากฝากถึงผู้บริหารสถานศึกษาต่าง ๆ นอกจากแผนเปิดเทอมแล้วอยากให้ดูหลักสูตรการเรียนด้วยว่าวิชาไหนควรเป็นวิชาหลัก วิชาอะไรควรเรียนเพิ่มเติม บางโรงเรียนเนื้อหาอัดแน่นจนเกินไปหรือไม่ รวมถึงการสั่งงาน การบ้าน ก็ต้องมาปรับให้เหมาะสมมากขึ้นไม่ให้เป็นภาระมากเกินไป เพราะกำลังเป็นประเด็นที่กำลังมีการกล่าวถึงอย่างมาก”

ขอบคุณที่มา : เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 22 กันยายน 2564

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่